ครั้นทรงตั้งกรมยุทธนาธิการ ขึ้นในปี พ.ศ.2430 เพื่อเป็นกรมรับผิดชอบการทหารทั้งหมดแล้ว จึงโปรดฯ ให้รวมกรมทหารเรือพระที่นั่งเวสาตรี และกรมอรสุมพล เข้าเป็น กรมทหารเรือ
นอกจากนี้พระองค์ท่านยังทรงปรับปรุงเรือกลไฟจากเรือจักรข้าง เป็นเรือจักรท้าย ทรงเร่งรัดให้ปรับปรุงและขยายอู่เรือ ทรงมีพระบรมราชโองการให้ จัดสร้างป้อมพระจุลจอมเกล้า อันทันสมัย สำหรับป้องกันการรุกรานจากเรือรบ บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา
และยิ่งหลังเหตุการณ์ ร.ศ. 112 (อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นลองเสิร์ชหาดูนะครับ มีให้อ่านเยอะแยะ) ทำให้พระองค์ทรงตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงกำลังทางเรือ เพื่อป้องกันภัยทางทะเล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องใช้คนไทยแทนคนตะวันตกในการทั้งหมด จึงได้ส่งพระเจ้าลูกยาเธอสองพระองค์ คือ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ และ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ไปศึกษาวิชาการทหารเรือ ณ ประเทศอังกฤษ โดยก่อนหน้านี้ ทรงส่ง นายฉ่าง แสงชูโต ไปฝึกกับราชนาวีอังกฤษมาก่อนแล้ว โดยต่อมาได้เป็น พลเรือเอก พระมหาโยธา
และทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนนายเรือ โดยพระราชทานพื้นที่พระราชวังเดิมของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ให้เป็นที่ตั้งโรงเรียน และเสด็จพระราชดำเนินมาเปิดโรงเรียนนายเรือด้วยพระองค์เอง
ด้วยการที่พระองค์ทรงวางรากฐานของราชนาวีไทยดังที่กล่าวมาแล้ว จึงอาจกล่าวได้ว่า พระองค์ทรงเป็นบิดาแห่งทหารเรือไทย พระองค์แรก แต่ด้วยในรัชสมัยของพระองค์ท่าน พระองค์ได้ทรงเป็นผู้ริเริ่ม และพัฒนากิจการในด้านต่าง ๆ ทั้งทางการทหาร และพลเรือนอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น การเมืองการปกครอง , การคมนาคมทางบก , การไปรษณีย์ โทรเลข , การฑูต ฯลฯ ซึ่งประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล่า ได้พร้อมใจกันถวายพระราชสมัญญาว่า "พระปิยมหาราช" นับได้ว่ามีความหมายครอบคลุมพระอัจฉริยภาพทุกด้านแล้ว
ส่วน พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ นั้น หลังจากที่ทรงสำเร็จการศึกษาจากราชนาวีอังกฤษแล้ว ก็ได้เข้ารับราชการในกรมทหารเรือ และทรงริเริ่มกำหนดแบบสัญญาณธงสองมือและโคมไฟ ให้ใช้กับตัวอักษรไทย และนำวิชาความรู้มาถ่ายทอดให้แก่นักเรียนของพระองค์ท่านด้วยพระองค์เอง โดยได้ทรงฝึก พลอาณัติสัญญาณ (ทัศนสัญญาณ) เป็นศิษย์รุ่นแรก
ต่อมาพระองค์ได้ทรงปรับปรุงหลักสูตรต่าง ๆ มากมายในโรงเรียนนายเรือ ทรงจัดตั้งโรงเรียนนายช่างกล ทรงนำนักเรียนนายเรือทั้งหมดไปอวดธง ณ ต่างประเทศ และอื่น ๆ อีกมากมาย ดังจะหาอ่านได้จากพระประวัติของพระองค์ ซึ่งหาอ่านได้ทั่วไป
และด้วยพระจริยาวัตร และพระกรณียกิจของพระองค์ ทรงเกี่ยวพันกับกองทัพเรือทั้งสิ้น ทรงสั่งให้ทหารเรือทั้งหลาย เรียกพระองค์ท่านว่า สีเตี่ย เสด็จเตี่ย เพื่อตัดความยุ่งยากในการใช้ราชาศัพท์ และทรงรักและปกป้องทหารเรือทุกนาย จากเหตุการณ์ต่าง ๆ ดังนั้น จึงควรขนานนามพระองค์ท่านว่าเป็น "พระบิดาแห่งทหารเรือไทย"
และในวาระนี้ ได้มีการพิจารณา การใช้คำราชาศัพท์ที่ถูกต้อง คือ คำว่า
"พระบิดา" และ
"องค์บิดา" ตามที่สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประทานคำแนะนำในการใช้ราชาศัพท์ คำว่า
"พระบิดา" และ
"องค์บิดา" ในโอกาสที่เสด็จเป็นองค์ประธานเปิดงานเทิดพระเกียรติสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก และทรงแสดงปาฐกถาเรื่อง พระราชกรณียกิจของ สมเด็จฯ พระบรมราชชนก ต่อการสาธารณสุขไทย เมื่อ 21 มิถุนายน พ.ศ.2536
ทรงกล่าวนำก่อนการบรรยายเรื่องตามหัวข้อ ถึงกรณีทรงขอให้หลายวงการ เว้นใช้คำว่า
"พระบิดาแห่งแพทย์ไทย" ซึ่งใช้กันมานาน เปลี่ยนใช้คำว่า
"องค์บิดา" แทน ส่วนคำว่า
"พระอาจารย์" ใช้สำหรับพระสงฆ์ เช่น พระอาจารย์ฝั้น พระอาจารย์มั่น ไม่ว่าศิษย์จะเป็นใครก็ตาม สำหรับฆราวาสนั้นจะเป็นพระอาจารย์เมื่อมีศิษย์เป็นเจ้า เช่น นาย ก. เป็นพระอาจารย์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ แต่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ มิได้เป็นพระอาจารย์ของนักเรียนนายร้อย เพราะนักเรียนนายร้อยไม่ได้เป็นเจ้า เห็นเขาเรียกกันว่า
"ทูลกระหม่อมอาจารย์" ด้วยหลักเกณฑ์เดียวกัน การแพทย์ หรือ การสาธารณสุข ไม่ได้เป็นเจ้า ก็ไม่น่าใช้คำว่า
"พระบิดา" แต่บิดาเป็นเจ้า จึงเสนอให้ใช้องค์ ดังที่ใช้กันแล้วกับคำ
องค์อุปถัมภ์ องค์ประธาน ไม่ได้ใช้
พระอุปถัมภ์ หรือ
พระประธานนอกจากนี้กรมกำลังพลทหารเรือ ได้ประสานกับ คุณเศวต ธนประดิษฐ์ ที่ปรึกษาสำนักพระราชวัง ทราบว่า คำว่า
"พระบิดา" จะใช้เป็นคำราชาศัพท์ ในการเรียนพระชนกนาถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเท่านั้น ในกรณีของบุคคลทั่วไปที่จะยกย่องเชิดชู ให้ใช้คำว่า
"องค์บิดา" แทน ซึ่งจะสอดคล้องตามที่ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ ทรงแนะนำการใช้ราชาศัพท์ไว้
เมื่อเป็นดังนี้ กองทัพเรือจึงมีประกาศกองทัพเรือแก้ไข ให้ใช้คำว่า
"องค์บิดาของทหารเรือไทย" แทนคำว่า
"พระบิดาของกองทัพเรือไทย" เมื่อ
วันที่ 19 เมษายน พ.ศ.2544และต่อมา ได้มีประกาศกองทัพเรือ ในการขานพระนามของพระองค์อย่างเป็นทางการให้ใช้ว่า "พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากร เกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์"
และนี่ก็คือที่มาของ
"วันอาภากร" และ
"องค์บิดาของทหารเรือไทย" ครับ ขอบพระคุณที่ติดตามอ่านจนจบ เพราะยาวมาก แต่ผมเห็นว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง จะได้เข้าใจและใช้คำกันได้ถูกต้องครับ
ขอบคุณบล็อก บันทึกไม่ประจำวันของเจ้าชายน้อย
http://zedth.exteen.com/20070519/entry