เครื่องเป่า
เครื่องเป่า ที่มนุษย์รู้จักใช้แต่เดิมก็คงเป้นหลอดไม้รวก ไม้ไผ่ ใช้เป่าเป็นสัญญาณในการล่าสัตว์ ภายหลังรู้จักเจาะรูและทำให้สั้น สามารถเปลี่ยนเสียงได้ จึงนำเอามาเล่นเป็นทำนองใช้เป็นเครื่องดนตรีอีกประเภทหนึ่ง เครื่องเป่าของไทยคือ ขลุ่ย และ ปี่
ขลุ่ย เป็นเครื่องเป่าดั้งเดิมของไทย เหตุที่เรียกว่า "ขลุ่ย" เข้าใจว่าเรียกตามเสียงเป่าที่ได้ยิน ขลุ่ยแต่เดิมทำด้วยไม้รวกปล้องยาว ๆ ไว้ข้อทางปลาย แต่เจาะรูทะลุข้อ และใช้ไฟย่างให้แห้ง ตบแต่งผิวให้ไหม้เกรียมเป็นลวดลายสวยงาม ต่อมาทำด้วยไม้จริงบ้าง งาบ้าง ขลุ่ยเลาหนึ่งมีรูสำหรับนิ้วปิดเพื่อเปลี่ยนเสียง 7 รู แต่เดิมขลุ่ยชนิดเดียว ต่อมาเมื่อนำมาเล่นผสมวงดนตรี จึงมีผู้ทำเป็น 3 ขนาด คือ ขนาดเล็ก เรียกขลุ่ยหลิบเสียงเล็กแหลมสูง ขนาดกลางเรียก ขลุ่ยเพียงออ เสียงระดับกลาง และขนาดใหญ่ เรียกขลุ่ยอู้ เสียงต่ำ ในปัจจุบันนิยมใช้ขลุ่ยเพียงออกันโดยมาก
ปี่ ปี่ของไทยมีวิธีเป่า และลักษณะการเจาะรูไม่เหมือนกับปี่ของชาติใด ปกติทำด้วยไม้จริง เช่น ไม้ชิงชัน ไม้พยุง กลึงให้เป็นรูปบานหัวบานท้าย ตรงกลางป่องเจาะภายในกลวงตลอดเลา ทางหัวเป็นช่องรูเล็กสำหรับใส่ลิ้น ทางปลายรูใหญ่ ตรงกลางป่องเจาะรู 6 รู สำหรับใช้นิ้วปิดเปิดเปลี่ยนเสียง ลิ้นปี่ทำด้วยใบตาลซ้อน 4 ชั้น ตัดกลมผูกติดกับท่อลมเล็ก ๆ ซึ่งเรียกว่า "กำพวด" กำพวดนี้ทำด้วยทองเหลือง เงิน หรือ นาค
ปี่ไทย มี 3 ขนาด คือ
ปี่นอก เป็นปี่ขนาดเล็ก เสียงเล็กแหลมสูง
ปี่กลาง เป็นปี่ขนาดกลาง เสียงระดับกลาง
ปี่ใน มีขนาดใหญ่ เสียงต่ำกว่า