กลองแขก รูปร่างยาวเป็นกระบอก หน้าหนึ่งใหญ่เรียกว่า "หน้ารุ่ย" อีกหน้าหนึ่งเรียกว่า "หน้าต่าน" หุ่นกลองทำด้วยไม้จริงหรือไม่แก่น เช่น ไม้ชิงชัน หรือไม้มะริด ขึ้นหนัง 2 หน้าด้วยหนังลูกวัว หรือหนังแพะ มีสายหนังโยงเร่งเสียง สำรับหนึ่งมี 2 ลูก ลูกเสียงสูงเรียกว่า "ตัวผู้" ลูกเสียงต่ำเรียกว่า "ตัวเมีย" เดิมใช้บรรเลงร่วมกับปี่ชวา ประกอบการเล่นกระบี่กระบอง ฟันดาบและชกมวย แล้วภายหลังจึงนำมาใช้บรรเลงในวงปี่พาทย์ของไทย ใช้ตีกำกับจังหวะแทนตะโพน และใช้แทนโทนกับรำมะนาในวงเครื่องสาย หรือวงมโหรีด้วย
กลองมลายู รูปร่างคล้ายกับกลองแขก แต่ตัวกลองสั้นและอ้วนกว่า หน้ากลองกว้างกว่า กลองมลายูที่สร้างในระยะหลัง ๆ บางทีทำอย่างกลองแขก เพียงแต่มีขนาดย่อมกว่า การตีกลองชนิดนี้ หน้าใหญ่ตีด้วยไม้งอ ๆ หน้าเล็กตีด้วยฝ่ามือ แต่เดิมใช้ตีในขบวนพยุหยาตรา ขบวนแห่พระบรมศพ และศพเจ้านาย ภายหลังนำมาใช้บรรเลงประโคมศพในวงบัวลอย และวงปี่พาทย์นางหงส์ โดยบรรเลงคู่กัน 2 ลูก คือ ตัวผู้และตัวเมีย เช่นเดียวกับกลองแขก
เปิงมางคอก คือเปิงมางที่ใช้กันอย่างในวงปี่พาทย์มอญ โดยใช้เปิงมางจำนวน 7 ลูก มีขนาดลดหลั่นกันลงไป และติดข้าวสุกผสมขี้เถ้า ปิดหน้ากลองแต่ละลูกเทียงเสียงสูงต่ำ แขวนเรียงลำดับไว้เป็นราวล้อมตัวคนตี คอกที่ทำสำหรับแขวนเปิงมางนั้น มักประดิษฐ์อย่างสวยงาม เช่นประดับกระจกสี ใช้ตีคู่กับตะโพนมอญในวงปี่พาทย์มอญ
สองหน้า คือ เครื่องหนังที่สร้างเลียนแบบเปิงมางนั่นเอง แต่ขยายให้โตขึ้นกว่าเปิงมาง หน้าข้างที่กว้างกว่าใช้ตีด้วยมือซ้าย หน้าที่เล็กกว่าตีด้วยมือขวา ติดข้าวสุกผสมขี้เถ้าเพิ่มขึ้น เพื่อถ่วงเสียงให้ต่ำ จนคล้ายตะโพน ใช้ตีประกอบจังหวะในวงปี่พาทย์ไม้แข็งที่บรรเลงประกอบการขับเสภา หรือร้องส่งอย่างสามัญ